หลายๆคนที่มีประสบการณ์ซื้อรถยนต์คันแรก หรือมีความลังเลอยู่ระหว่างการตัดสินใจจะซื้อรถยนต์ไว้ใช้งาน คงเคยได้ยินคำพูดทำนองว่า “นอกจากค่าผ่อนรถในแต่ละเดือนแล้ว ยังต้องกันเงินส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์อีกนับไม่ถ้วน” จึงขอพาคุณผู้อ่านไปรู้จักว่าในแต่ละปีนั้น เจ้าของรถยนต์จะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอะไรบ้าง ซื้อรถต้องจ่ายอะไรบ้าง ?
1.ค่าน้ำมัน
ค่าน้ำมันถือเป็นค่าใช้จ่ายหลักในละเดือนเลยก็ว่าได้ ยิ่งรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากแค่ไหน ก็จะยิ่งช่วยเซฟรายจ่ายนี้ลงได้มากขึ้นเท่านั้น โดยปัจจุบันมีทางเลือกเพื่อช่วยประหยัดค่าน้ำประปามันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้รถยนต์ไฮบริด, การติดตั้งก๊าซ LPG/CNG อื่นๆอีกมากมาย ทั้งยังพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคนยังส่งผลถึงค่าน้ำมันในแต่ละเดือนอีกด้วย
2.ค่าประกันภัย
แม้เป็นประกันภัยชั้น 1 ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการต่อประกันแต่ละปีอยู่ที่ราว 2 หมื่นบาทสำหรับรถยนต์ญี่ปุ่น หรือต่ำกว่านั้นหากเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก หากต้องการเซฟค่าใช้จ่ายลงก็สามารถเปลี่ยนเป็นประกันภัยชั้น 2+, ชั้น 2, ชั้น 3+ และชั้น 3 ซึ่งมีความคุ้มครองน้อยกว่าได้
แต่อย่าลืมว่าหากเกิดอุบัติเหตุที่นอกจากความคุ้มครองขึ้นมาแล้วล่ะก็ คนขับขี่จำเป็นต้องจ่ายส่วนที่เกินขึ้นมาด้วยตัวเอง (เช่น ถูกชนแล้วหนีและไม่สามารถหาคู่กรณีได้)
3.ค่าภาษี และ พ.ร.บ.
ค่าภาษีรถยนต์รายปีขึ้นอยู่กับขนาดของตัวรถยนต์ แม้เป็นรถยนต์ขนาด 1,500 ซีซี ก็จะมีค่าภาษีประมาณ 1,600 บาท และ พ.ร.บ. อยู่ที่ประมาณ 6 ร้อยกว่าบาท ดังนั้น ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะป้วนเปี้ยนอยู่ราว 2 พันกว่าบาท
4.ค่าบำรุงรักษาตามระยะ
ในกรณีรถยนต์ป้ายแดงควรนำรถยนต์เข้ารับบริการตรวจเช็คตามระยะทุก 10,000 กิโลเป็นประจำ เพื่อให้รถสามารถใช้งานได้อย่างปกติและไม่หลุดวารันตี ซึ่งค่าใช้จ่ายก็จะขึ้นกับรุ่นรถยนต์และก็ระยะที่เข้ารับบริการ อาจมีตั้งแต่พันกว่าบาท ไปจนกระทั่งหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับว่าระยะนั้นมีชิ้นส่วนที่จำเป็นต้องเปลี่ยนมากน้อยแค่ไหน
5.ค่าซ่อมบำรุง
นอกเหนือจากการบำรุงรักษาตามระยะแล้วนั้น หากมีชิ้นส่วนใดเกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพจากการใช้งาน ก็จะต้องเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นนั้นๆเพื่อให้รถยนต์ใช้งานได้ปกติ ถ้าเป็นชิ้นส่วนอยู่ในระยะวารันตีก็จะได้รับการเปลี่ยนฟรี แต่ว่าถ้าเป็นส่วนประกอบอื่นๆหรือหมดวารันตีไปแล้ว เจ้าของรถต้องจ่ายค่าอะไหล่และค่าแรงด้วยตัวเอง
โดยส่วนมากชิ้นส่วนที่ต้องเปลี่ยนอยู่บ่อยๆและอยู่นอกเหนือจากการเปลี่ยนตามระยะ ได้แก่ ช่วงล่าง, โช๊คอัพ, แบตเตอรี่, ใบปัดน้ำฝน, ผ้าเบรก, จานเบรก และยาง ฯลฯ
6.ค่าดูแลรักษา
ค่าดูแลรักษาในที่นี้คือการดูแลและรักษาสภาพให้รถยนต์ดูใหม่อยู่เป็นประจำ เช่น การล้างรถ, ขัดสีรถยนต์, การเคลือบสี-เคลือบแก้ว อื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งสินค้าต่างๆที่ซื้อมาใช้สำหรับรถยนต์โดยเฉพาะ เช่น แชมพูล้างรถ, น้ำยาเคลือบเบาะ, อุปกรณ์ดูดฝุ่นในรถ ฯลฯ แม้ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ดูเหมือนจะไม่สูงมากมาย แต่ลองคิดรวมกันในแต่ละปีก็จัดว่าไม่น้อยทีเดียว
7.ดอกเบี้ยเงินผ่อน
แม้ว่าดอกเบี้ยจะถูกรวมคิดไปในค่างวดของแต่ละเดือนอยู่แล้ว แต่ว่าหากเทียบกับคนที่ซื้อเงินสด ก็จะมีค่าดอกเบี้ยที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ราคา 1,000,000 บาท ถ้าดาวน์ 20% รวมทั้งจัดไฟแนนซ์ 800,000 บาท ผ่อนทั้งหมด 60 งวด ด้วยดอก 2.00% จะมีค่างวดอยู่ที่ 14,667 บาทในแต่ละเดือน
เมื่อนำยอดผ่อนทั้งหมดมาคิดรวมกับเงินดาวน์ที่จ่ายไปในตอนแรกจะเท่ากับ 880,020 + 200,000 = 1,080,020 บาท เท่ากับว่าต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดระยะเวลา 5 ปี อยู่ที่ 80,020 บาท
8.ค่าเสื่อมราคาเมื่อขายต่อ
อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เจ้าของรถยนต์หลายคนต้องน้ำตาตกในก็คือราคาขายต่อนั่นเอง เพราะยิ่งนานไปราคารถยนต์ก็จะมีแต่ลดลง แม้เป็นรุ่นยอดนิยมในตลาดก็มักได้ราคาดีหน่อย แต่ถ้าหากรถยนต์ไม่เป็นที่นิยมในตลาดมือสองนัก ก็มักขายไม่ได้ราคาอย่างที่ตั้งใจไว้ ทางที่ดีคุณควรใช้วิธีประกาศขายเองบนออนไลน์ จะได้ราคาดีกว่าการขายให้กับเต็นท์มือสอง หรือพ่อค้าคนกลางอยู่พอสมควร
รู้อย่างนี้แล้วก่อนเลือกซื้อรถยนต์คันแรก ก็ควรจะพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามมาเหล่านี้ด้วยครับ
สนใจศึกษา ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรถ เพิ่มเติม
อ่านบทความดีๆผ่านทางเฟสบุ๊ค Autolifestyle